ภูเขาทอง (วัดสระเกศ) ฝ่าเปลวแดดไปชมวิวเมืองกรุงในมุมที่ไม่ค่อยได้เห็น
- ระยะเวลา1 วัน
- ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย฿ 100/คน
- Share
คงไม่มีใครไม่รู้จัก ภูเขาทอง (วัดสระเกศ) ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในเมืองเก่าของกรุงเทพมหานคร แต่เชื่อว่าหลายคนยังไม่มีโอกาสได้ขึ้นมาเที่ยวถึงยอดเจดีย์ อาจด้วยเหตุผลเพราะว่าต้องเดินขึ้นบรรไดอย่างน้อยก็ 344 ขั้น และต้องกลับลงมาอีก 344 ขั้น บวกกับอากาศร้อนระอุในกรุงเทพฯ วันนี้ Trip & Drip จึงอาศาพามาเดินขึ้นภูเขาทองในวันที่แดดร้อนเปรี้ยง! อุณหภูมิ 35 องศา เวลา 10:30 กันว่าจะเป็นอย่างไร เดินขึ้นยากไหม ขึ้นไปแล้วเจอวิวอะไรบ้าง พร้อมแล้วมาเริ่มทริปกันเลย
แต่ก่อนเริ่มขึ้นบันไดขั้นที่ 1 เรามาลองทำความรู้จักประวัติสั้นๆ และการเดินทางกันสักนิด ใครทราบแล้วข้ามไปในหัวข้อถัดไปได้เลย
เรื่องราวและรูปภาพในบทความนี้ผลิตโดย Trip & Drip สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้ฟรี (free for non-commercial use) โดยต้องใส่เครดิตและลิงก์อ้างอิงมายังเว็บไซต์ tripanddrip.com ในรูปแบบ Hyperlink
บรมบรรพต หรือ ภูเขาทอง (Golden Mount) เริ่มสร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยได้มีการก่อสร้างต่อเนื่องในสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 จนเสร็จสมบูรณ์ ในช่วงตอนเริ่มต้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเก้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษาเป็นแม่กองงานสร้างพระปรางค์ใหญ่
ภูเขาทองสร้างขึ้นบนภูเขาจำลอง มีความสูงประมาณตึก 19 ขั้น ตั้งอยู่ใกล้กับวัดโลหะปราสาท ซึ่งจะเป็นคนละที่กับวัดภูเขาทองที่อยุธยา
ภูเขาทอง วัดสระเกศ อยู่ใกล้กับสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ซึ่งตรงนั้นก็จะมีท่าเรื่อ "ท่าผ่านฟ้าลีลาศ" ด้วย สะดวกสำหรับคนที่มาทางเรือ แต่ในทริปนี้เราขับรถกันไปซึ่งถือว่าก็ไม่ได้ลำบากมากมาย อาจเสียเวลาหาที่จอดแต่ตอนเราไปก็ไม่ได้หายากเท่าไหร่ ซึ่งหากใครไม่คุ้นเคย แนะนำให้มาทางเรือ หรือนั่ง MRT ไปจะสะดวกที่สุด คือมาลง MRT สามยอด จะห่างจากภูเขาทองประมาณ 1 กิโลเมตร ถ้าใครเดินไหวก็ใช้เวลาเดินประมาณ 14 นาที
ด้านล่างรอบๆ ภูเขาทองจะมีบางจุดที่ยังคงความเก่าอยู่ มีทั้งซากสิ่งก่อสร้าง พระพุทธรูป และจุดเก็บกระดูก
ภูเขาทองสูงประมาณตึก 19 ชั้น ซึ่งอาจดูไม่สูงมากในยุคที่มีคอนโดขึ้นเป็น 30+ ชั้น แต่อย่าลืมว่าในย่านนี้ของกรุงเทพฯ แทบไม่มีตึกสูงๆ ขึ้นแล้ว ภูเขาทองถือว่าเป็นจุกที่สูงที่สุดเลยก็ว่าได้ นั่นหมาความว่า หากมองลงมาจากข้างบน เราน่าจะได้เห็นวิวเมืองย่านนี้ในอีกมุมมองที่ไม่ค่อนได้เห็น
กว่าจะได้เริ่มขึ้นจริงๆ ก็เกือบ 11 โมง ซึ่งวันนี้เป็นวันที่แดดแรงมาก ยังแอบกลัวว่าจะเป็นลมหรือเปล่าเพราะไม่ได้เอาร่มมาด้วย ซึ่งพอไปเจอทางเดินขึ่นก็ค่อยโล่งใจนิดนึงเพราะระหว่างทางเหมือนจะมีต้นไม้และการตกแต่งสวนไปเรื่อยๆ ทำให้ดูร่มรื่นขึ้นบ้างถึงแม่จะมีแดด โดยตอนทางขึ้นก็จะมีน้ำตกและรูปปั้นต่างๆ ที่สวยงาม เป็นจุดถ่ายรูปของนักท่องเที่ยว
ขั้นบันได้ที่ภูเขาทองถือว่าไม่สูง น่าจะแค่ประมาณ 3-4 นิ้วเท่านั้น ซึ่งอาจทำให้เดินขึ้นง่าย
ระหว่างทางเดินมีจุดพักเป็นระยะๆ โดยจะมีระฆังแขวนอยู่เป็นแถวยาว สามารถเดินตีไปเรื่อยๆ ได้ และที่สำคัญ มีระอองน้ำพ่นออกมาช่วยลดความร้อนได้บ้าง แต่ถ้าใครไม่ชอบก็อาจต้องรีบเดิน เพราะขอบอกว่าบางช่วงที่ลดพัดแรงๆ น้ำจะฟุ้งไปหมด ซึ่งพอเริ่มเดินสูงขึ้น ลมก็จะเริ่มแรงขึ้น ความร้อนจึงไม่ค่อยเป็ยอุปสรรคเท่าไหร่ (ถ้าไม่เจอจุดที่แดดลงเปรี้ยงๆ)
หลังจากทางพักในช่วงต้นทางก็จะเริ่มเจอบันไดสีแดงที่ทอดยาว ไม่มีเงาต้นไม้มาช่วยบังแดด ซึ่งนอกจากแดดแล้ว สีของบันได้ก็มีโอกาสทำให้ตาลายสูงมากโดยเฉพาะผู้สูงอายุ เพราะมันจะเป็นขั้นถี่ๆ สีแดงเรียงกันยาวๆ สะท้อนกับแสงแดด แนะนำให้ค่อยๆ เดือน หรือเดินเกาะราวไปเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม พอเดินขึ้นมาเรื่อยๆ ก็จะเริ่มเห็นวิวในกรุงเทพฯ ที่ค่อนข้างสวยงามเลยทีเดียว เนื่องจากในย่านนี้จะไม่ค่อยมีตึกสูง ทำให้ภูเขาทองถือเป็นจุดชมวิวเดียวในย่านนี้เลยก็ว่าได้ ซึ่งเมื่อมองไปฝังหนึ่งก็จะพบกับย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ ที่จะเห็นตึกสูงจางๆ อยู่ไกลสุดสายตา ที่ถูกบดบังด้วยฝุ่นควัน แต่หากมาในช่วงที่ PM 2.5 สูงกว่านี้อาจมองวิวไกลๆ ไม่ค่อยเห็น
เมื่อเดินขึ้นมาจุดสุดก็จะพบกับพระพุทธรูปให้สักการะ และมีเก้าอี้ให้นั่งชมวิว ตากลม สบายใจ สามารถพักเหนื่อยได้เลย
หากใครชินกับการไปวัดแล้วต้องถอกรองเท้า ขอบอกว่าเราไม่จำเป็นต้องถอดรองเท่าที่ภูเขาทอง โดยด้านหน้าจะมีป้ายเขียนไว้เลย
ในชั้นนี้ หากเดินไปทั่วๆ จะเจอซอกบันไดเล็กๆ และมีป้ายเขียนว่า "ทางขึ้นทางขึ้นสวรรค์" หรือ "WAY UP" สามารถขึ้นไปด้านบนสุดของภูเขาทองได้เลย
ขึ้นมาแล้วจะพับกับเจดีย์ยอดบนสุดของภูเขาทอง พร้อมพระบรมสารีริกธาตุให้สักการะ พื้นที่รอบเจดีย์จะมีคนมาเดินจงกรม นั่งสมาธิ หรือสวดมนต์อยู่บ้าง ดังนั้นควรอยู่ในความสงบเงียบ และเรียบร้อย
วิวด้านบนหากมองไปฝั่งสนามหลวง จะเห็นสถานที่สำคัญมากมายซึ่งถือว่าสวยมาก ไม่ว่าจะเป็นวัดพระแก้ว วัดโพธิ วัดแจ้ง และอีกมากมาย ซึ่งหากแสดงอาทิตย์ทำมุมได้พอดี ก็จะเห็นแสงสะท้อนกับหลังคาวัดแต่ละที่วิบวับกันเลยทีเดียว
และหากมองมาใกล้ๆ ก็จะเจอกับชุมชน ตึกแถว และอาคารเก่าๆ ซึ่งบางที่ยังมีดีไซน์แบบโบราณ เป็นภาพที่ Contrast และสวยงามมาก สะท้อนถึงเมืองที่มีความหลากหลายและผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายช่วงอายุคน หากใครเคยเห็นภาพภูเขาทองสมัยโบราณ พอมายืนตรงนี้แล้วจินตนาการตามจะรู้เลยว่าสมัยก่อนวิวตรงนี้สวยงามแค่ไหน คงจะเห็นวัดพระแก้วได้เต็มๆ จากมุมนี้
ณ ภูเขาทอง ถือเป็นสะดือประเทศไทย ซึ่งได้ถูกระบุไว้อย่างเป็นทางการ มีหมุดโฉนดที่ดินวางไว้ใกล้ๆ กับเจดีย์
สรุปการเดินฝ่าเปลวแดดขึ้นบันได้ 344 ขึ้นมาบนยอดของภูเขาท้องถือว่าคุ้มอยู่ การที่ได้มาเห็นวิวมุมนี้ทำให้นึงถึงกรุงเทพในวันเก่าๆ ที่ยังไม่มีอาคารบ้านเรือนมากมายเหมือนทุกวันนี้ เห็นคลองแต่ละสายที่เป็นเส้นทางการเดินทางหลักของคนสมัยก่อน เห็นปลายยอดพระปรางค์วัดอรุณ อดคิดไม่ได้ว่าถ้ามายืนจุดนี้เมื่อ 150 ปีที่แล้วจะเป็นยังไงบ้าง
หากใครมาเที่ยวตอนเย็นก็น่าจะได้เห็นพระอาทิตย์ตกอย่างสวยงาม และหากยังมีเวลา แนะนำให้ลองไปเดินเล่นที่คลองโอ่งอ่างกันต่อ เพราะอยู่ใกล้ๆ กับ MRT สามยอดเช่นกัน เดิน 15 นาทีถึง
ดีใจด้วย คุณคือคนแรก!
คอมเมนต์